Pink Transparent Star

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561

LGBT ความหลากหลายทางเพศ

เมื่อพูดถึงเพศทางเลือกแล้ว ในต่างประเทศจะมีตัวอักษรย่อของกลุ่มเพศทางเลือกว่า LGBT ซึ่ง LGBT คืออะไรบ้าง วันนี้เราจะมาอธิบายคร่าวๆ เพื่อเป็นข้อมูลกันดีกว่า



L – Lesbian (เลสเบี้ยน)


เลสเบี้ยน ถ้าให้อธิบายง่ายๆ คือ ความรักของเพศหญิงที่มีให้กับผู้หญิงอย่างเดียว หรือในอีกแง่นึงคือ ผู้หญิงที่รักเพศเดียวกันกับตัวเอง ซึ่งคำว่า เลสเบี้ยน มักจะใช้เฉพาะผู้หญิงอย่างเดียว


G – Gay (เกย์)
ถ้าเลสเบี้ยนคือความรักของเพศหญิงกับหญิงแล้ว เกย์คือความรักของผู้ชายที่มีให้กับผู้ชายนั่นเอง ซึ่งคำว่าเกย์ในภาษาอังกฤษจะใช้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่รักเพศเดียวกันกับตัวเอง แต่ในประเทศไทยมักจะใช้ในทางผู้ชายรักผู้ชายเพียงอย่างเดียว


B – Bisexual

สำหรับไบเซกชวลคือความรักระหว่างชายหรือหญิงที่ให้กับเพศเดียวกับตัวเองหรือเพศตรงข้ามก็ได้ซึ่งไม่เหมือน เลสเบี้ยน หรือ เกย์ ที่มีรสนิยมทางเพศเดียวกันกับตัวเอง
T – Transgender
    ถ้าแยกคำแล้วแปลแบบตรงตัว คำว่า Trans แปลว่า ข้าม และ Gender แปลว่า เพศ ดังนั้นคำว่า Transgender คือข้ามเพศ” ซึ่งหมายถึงคนที่เปลี่ยนแปลงเพศของตัวเองไปเป็นเพศตรงข้าม เช่น หญิงข้ามเพศ (Transman) คือคนที่เปลี่ยนจากเพศชายไปเป็นเพศหญิง หรือชายข้ามเพศ (Transwoman) คือคนที่เปลี่ยนจากเพศหญิงเป็นเพศชาย
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนข้ามเพศจะมีการเลือกอัตลักษณ์และสัมพันธ์กับความรู้สึกทางเพศของตัวเอง และอาจรวมไปถึงการใช้แพทย์เป็นตัวช่วยด้วย เช่น ยาฮอร์โมน การผ่าตัดแปลงเพศ ฯลฯ เพื่อแสดงตัวตนของตัวเองนั่นเอง….

ขอบคุณที่มาจาก : https://www.parentsone.com/what-is-lgbt/?fbclid=IwAR3G24XCOW73SkHcHFBVpIO8Ce-VoVCjzSUuQSPouALaDYS315CTEembkKM



กิจกรรมที่ 3 ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์




                    ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์
     
     คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยในทุก ๆ สาขาวิชา ดังนั้นโครงงานคอมพิวเตอร์จึงมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก ทั้งในลักษณะของเนื้อหา กิจกรรม และลักษณะของประโยชน์หรือผลงานที่ได้ ซึ่งอาจแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภท คือ

     1. โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)
     2. โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)
     3. โครงงานประเภทจำลองทฤษฎี (Theory Experiment)
     4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน (Application)
     5. โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์

ที่มา : https://sites.google.com/site/krupanisara/unit1/type

1.โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)

     เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา โดยการสร้างโปรแกรมบทเรียน หรือหน่วยการเรียน ซึ่งอาจจะต้องมีภาคแบบฝึกหัด บททบทวน และคำถามคำตอบไว้พร้อม ผู้เรียนสามารถเรียนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่ม การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยนี้ ถือว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์การสอน ไม่ใช่เป็นครูผู้สอน ซึ่งอาจเป็นการพัฒนาบทเรียนแบบ Online ให้นักเรียนเข้ามาศึกษาด้วยตนเองก็ได้
     โครงงานประเภทนี้สามารถพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการสอนในวิชาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสาขาคอมพิวเตอร์ วิชาคณิตศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาสังคม วิชาชีพอื่น ๆ ฯลฯ โดยนักเรียนอาจคัดเลือกหัวข้อที่นักเรียนทั่วไปที่ทำความเข้าใจยาก มาเป็นหัวข้อในการพัฒนาโปรแกรมบทเรียน ตัวอย่างเช่น โปรแกรมสอนวิธีการใช้งาน ระบบสุริยะจักรวาล โปรแกรมแบบทดสอบวิชาต่าง ๆ


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การศึกษา
         ที่มา : https://www.matichon.co.th/columnists/news_420997

         
2.โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)
         
     เป็นโครงงานเพื่อพัฒนาเครื่องมือมาใช้ช่วยสร้างงานประยุกต์ต่าง ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นในรูปซอฟต์แวร์ ตัวอย่างของเครื่องมือช่วยงาน เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูป ซอฟต์แวร์พิมพ์งาน ซอฟต์แวร์ช่วยการมองวัตถุในมุมต่าง ๆ เป็นต้น สำหรับซอฟต์แวร์เพื่อการพิมพ์งานนั้นสร้างขึ้นเป็นโปรแกรมประมวลผลภาษา ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้เราใช้งานในงานพิมพ์ต่าง ๆ บนเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นไปได้โดยง่าย ซึ่งรูปที่ได้สามารถนำไปใช้งานต่าง ๆ ได้มากมาย สำหรับซอฟต์แวร์ช่วยในการมองวัตถุในมุมต่าง ๆ ใช้สำหรับช่วยในการออกแบบสิ่งของต่าง ๆ เช่น โปรแกรมประเภท 3D
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ซอฟต์แวร์วาดรูป
  ที่มา : https://software.thaiware.com/6438-MediBang-Paint-Pro-Download.html       


3. โครงงานประเภทจำลองทฤษฎี (Theory Experiment)
 
     เป็นโครงงานใช้คอมพิวเตอร์ในการจำลองการทดลองของสาขาต่าง ๆ เป็นโครงงานที่ผู้ทำต้องศึกษารวบรวมความรู้ หลักการ ข้อเท็จจริงและแนวความคิดต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งในเรื่องที่ต้องการศึกษา แล้วเสนอเป็นแนวคิด แบบจำลอง หลักการ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสมการ สูตร หรือคำอธิบายก็ได้ พร้อมทั้งนำเสนอวิธีการจำลองทฤษฎีด้วยคอมพิวเตอร์ การทำโครงงานประเภทนี้มีจุดสำคัญอยู่ที่ผู้ทำต้องมีความรู้เรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างดี ตัวอย่าง เช่น การทดลองเรื่องการไหลของเหลว การทดลองเรื่องพฤติกรรมของปลาอโรวาน่า ทฤษฎีการแบ่งแยกดีเอ็นเอ เป็นต้น


4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน(Application)

     เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน เช่น ซอฟต์แวร์สำหรับการออกแบบและตกแต่งอาคาร ซอฟต์แวร์สำหรับการผสมสี ซอฟต์แวร์สำหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานงานประเภทนี้จะมีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่งอาจจะสร้างใหม่หรือปรับปรุงดัดแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มี ประสิทธิภาพสูงขึ้นก็ได้ โครงงานลักษณะนี้จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบ และพัฒนาสิ่งของนั้น ๆ ต่อจากนั้นต้องมีการทดสอบการทำงานหรือทดสอบคุณภาพของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ โครงงานประเภทนี้นักเรียนต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรม และเครื่องมือต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาจใช้วิธีทางวิศวกรรมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในการพัฒนาด้วย

5. โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)
         
     เป็นโครงงานพัฒนาซอฟต์แวร์เกมเพื่อความรู้ และ/หรือ ความเพลิดเพลิน เช่น เกมหมากรุก เกมหมากฮอส เกมการคำนวณเลข ซึ่งเกมที่พัฒนาขึ้นนี้น่าจะเน้นให้เป็นเกมที่ไม่รุนแรง เน้นการใช้สมองเพื่อฝึกคิดอย่างมีหลักการ โครงงานประเภทนี้จะมีการออกแบบลักษณะและกฎเกณฑ์การเล่น เพื่อให้น่าสนใจเก่ผู้เล่น พร้อมทั้งให้ความรู้สอดแทรกไปด้วย ผู้พัฒนาควรจะได้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเกมต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วไปและนำมาปรับปรุงหรือพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อให้ป็นเกมที่แปลกใหม่ และน่าสนใจแก่ผู้เล่นกลุ่มต่าง ๆ


รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
ที่มา : https://www.thisisgamethailand.com/content/Riot-Games-%E0%B9%81%E0%B8%87%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A1-MMO-LoL.html


ขอบคุณที่มาจาก : http://www.acr.ac.th/acr/ACR_E-Learning/CAREER_COMPUTER/COMPUTER/M4/ComputerProject/content1.html

กิจกรรมที่ 2 องค์ความรู้เกี่ยวกับโครงงานคอมพิวเตอร์


โครงงานคอมพิวเตอร์ 

    
       หมายถึง  กิจกรรมการเรียนที่นักเีรียนมีอิสระในการเลือกศึกษาปัญหาที่ตนเองสนใจ โดยจะต้องวางแผนการดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรม โดยใช้ความรู้ทางกระบวนการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาโครงงาน เรื่องที่นักเรียนสนใจและคิดจะทำโครงงาน ซึ่งอาจมีผู้ศึกษามาก่อน หรือเป็นเรื่องที่นักพัฒนาโปรแกรมได้เคยค้นคว้าและพัฒนาแล้ว นักเรียนสามารถทำโครงงานเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องคิดดัดแปลงแนวทางในการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม หรือศึกษาเพิ่มเติมจากผลงานเดิมที่มีผู้รายงานไว้ จุดมุ่งหมายสำคัญของการทำโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์แก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้น หรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้เพื่อการศึกษา ประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกให้นักเรียนเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ การพัฒนาความคิดใหม่ๆ ความมีคุณธรรมจริยธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้กับเพื่อนมนุษย์ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข





                  ความสำคัญของโครงงานคอมพิวเตอร์
   
    โครงงานคอมพิวเตอร์ คือ ผลงานที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าตามความสนใจ ความถนัดและความสามารถของผู้เรียน โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โครงงานจึงเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยผู้เรียนจะหาหัวข้อโครงงานที่ตนเองสนใจ รวมทั้งเชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ และความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสร้างผลงานตามความต้องการได้อย่างเหมาะสม โดยมีครูเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำความสามารถที่เกิดจากการทำโครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ 5 ประการดังนี้

        1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถที่เกิดจากการที่นักเรียนเป็นผู้ทำโครงงานต้องนำเสนอผลงานให้ ครูและเพื่อนนักเรียนให้เข้าใจโครงงานคอมพิวเตอร์ได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ผู้ทำโครงงานต้องสื่อสารความคิดในการสร้างสรรค์โครงงานด้วยการเขียน หรือด้วยปากเปล่า รวมทั้งเลือกใช้รูปแบบของสื่อ
อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อนำเสนอแนวคิดในการจัด โครงงานให้ผู้อื่นได้เข้าใจ
        2. ความสามารถในการคิด ซึ่งผู้เรียนจะมีการคิดในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
            2.1 การคิดวิเคราะห์ เกิดจากการที่ผู้เรียนต้องวิเคราะห์ปัญหาและแยกแยะสาเหตุว่าเกิดเนื่องจากอะไร
            2.2 การคิดสังเคราะห์ เกิดจากการที่ผู้เรียนต้องนำความรู้ต่างๆ ที่เรียนมา รวมทั้งความรู้จากการค้นหาข้อมูล เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาหรือการสร้างสรรค์โครงงาน
            2.3 การคิดอย่างสร้างสรรค์ เกิดจากการที่ผู้เรียนนำความรู้มาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ
            2.4 การคิดอย่างมีวิจารณญาณ เกิดจากการที่ผู้เรียนได้มีการคิดไตร่ตรองว่าควรทำโครงงานใดและไม่ควรทำโครงงานใด เนื่องจากโครงงานที่สร้างขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม เช่น โครงงานระบบคำนวณเลขหวย สำหรับหาเลขที่คาดว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลจะออกในแต่ละงวด อาจส่งผลกระทบต่อ
สังคม ท าให้คนในสังคมเกิดความหมกมุ่นในกับการใช้เงินเล่นหวยมากขึ้น
            2.5 การคิดอย่างเป็นระบบ เกิดจากการที่ผู้เรียนคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน โดยใช้ขั้นตอนในการพัฒนาโครงงาน คือ ผู้เรียนเป็นผู้วางแผนในการศึกษา ค้นคว้า เก็บรวบรวมข้อมูล พัฒนา หรือประดิษฐ์คิดค้นผลงาน รวมทั้งการสรุปผลและการนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยมีผู้สอนและ
ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ให้คำปรึกษา
        3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เกิดจากการที่ผู้เรียนวิเคราะห์ปัญหา เข้าใจ และอธิบายปัญหาทางด้านคอมพิวเตอร์ รวมทั้งประยุกต์ความรู้ ทักษะ และการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหา
        4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
        5. เกิดจากการที่ผู้เรียนได้นำความรู้และกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการพัฒนาโครงงาน และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการพัฒนาโครงงานก่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองอันนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต
        6. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เกิดจากการที่ผู้เรียนสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ในการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม

ขอบคุณที่มาจาก : https://sites.google.com/a/sw101.ac.th/krujumka/hnwy-kar-reiyn-ru13

                  คุณค่าของการทำโครงงานคอมพิวเตอร์ 

     เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีผลกระทบต่อความเจริญก้าวหน้าของทุก ๆ สังคมในโลกปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีด้านนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเรื่องยากที่ประชาชนจะคอยติดตามความก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลาและเป็นสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์คุ้มค่าอีกด้วย ดังนั้นการศึกษาเทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์จึงต้องศึกษา หลักการและเนื้อหาพื้นฐานเป็นสำคัญการศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งจำเป็นเสมือนกับการศึกษา วิทยาศาสตร์ธรรมชาติคอมพิวเตอร์ได้เปลี่ยนแปลงโลกของเราในด้านต่าง ๆ มากมายได้แก่
    - สังคมโดยส่วนใหญ่เปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมเป็นสังคมสารสนเทศ
    - การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ มักขึ้นอยู่กับข้อมูลซึ่งได้จากระบบคอมพิวเตอร์
    - คอมพิวเตอร์กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญแทนเครื่องมืออื่น ๆ ในอดีต เช่น เครื่องพิมพ์ดีด เครื่องคิด เลขเป็นต้น
    - คอมพิวเตอร์ถูกใช้ในการออกแบบสถานการณ์หรือปัญหาที่ซับซ้อนต่าง ๆ
    - คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารของโลกปัจจุบันนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาเรียนวิทยาศาสตร์ธรรมชาติเพื่อความเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติในโลก ในทำนองเดียวกันนักเรียนต้องเรียนวิชาทางวิทยาการคอมพิวเตอร์เพื่อความเข้าใจในสังคมเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของสังคมต่าง ๆ ในยุค
สารสนเทศ 

ขอบคุณที่มาจาก : http://www.hs.ac.th/A01%20(2).pdf

                    

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง




 ขอบข่ายของโครงงาน

1. เป็นกิจกรรมการเรียนให้นักเรียนศึกษา ค้นคว้า ปฏิบัติดัวยตนเองโดยอ าศัยหลักวิชาการทางทฤษฎีตามเนื้อหาโครงงานนั้นๆ หรือจากประสบการณ์และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้พบเห็นมากแล้ว
2. นักเรียนทุกคนพิจารณาจัดทำโครงงานด้วยตนเอง หรือเป็นกลุ่มโดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ เป็นภาคเรียน หรือมากว่าก็ได้ แล้วแต่โครงงานเล็กหรือใหญ่
3. นักเรียนเป็นผู้พิจารณาริเริ่มสร้างสรรค์ คัดเลือกโครงงานที่จะศึกษาค้นคว้าปฏิบัติด้วยตนเองตามความถนัด สนใจ และความพร้อม
4. นักเรียนเป็นผู้เสนอโครงงาน รายละเอียดของโครงงาน แผนปฏิบัติงานและการแปลผล รายงานผลต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อดำเนินงานร่วมกันให้บรรลุตามจุดหมายที่กำหนดไว้
5. เป็นโครงงานที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถของนักเรียนตามวัยและสติปัญญา รวมทั้งการใช้จ่ายเงินดำเนินงานด้วย

ขอบคุณที่มาจาก : https://www.gotoknow.org/posts/314100

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ใบงานที่ 5 บทความสำหรับโครงงานคอมพิวเตอร์

ทำไมเราต้อง “หาว” ตามกัน❤️❤️
ที่มาภาพ : https://br.pinterest.com/pin/

       หาว (yawn) "หาวตามคนอื่น" เป็นคำถามที่ยังรอคำตอบว่าทำไม? มีหลายสมมุติฐานที่พยายามตอบเรื่องนี้ สมมุติฐานทางการแพทย์ก็จะต้องมีข้อมูลสนับสนุน มีการทดลอง แต่ก็ยังไม่สามารถตอบบางภาวะได้ จึงไม่สามารถสรุปชัดเจนได้ว่า เราหาวกันทำไม และหาวตามคนอื่นทำไม??

        "การหาว" เป็นสิ่งที่เจอได้ในมนุษย์และสัตว์อีกหลายชนิด เช่นลิง สุนัข แมว หนู เสือ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม การหาวไม่ใช่การอ้าปากเฉยๆ การหาวมีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อหลายมัดค่ะ เริ่มต้นจากปากอ้าขึ้น ขากรรไกรกว้างออก หายใจเข้า ถ้าหาวได้มากๆก็ตาปิด น้ำตาไหลได้ มีการตึงของเยื่อแก้วหู และหายใจออก ไม่ใช่อ้าปากเฉยๆ
การหาวเกิดขึ้นเมื่อไหร่บ้าง ?
การหาวเกิดขึ้นได้ในหลายเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเวลาง่วงหรือเพิ่งตื่น  เมื่อรู้สึกเบื่อ เหนื่อย เครียด หรือการหาวตามกัน ไม่ว่าจะเห็นคนหาว คุยโทรศัพท์กับเพื่อนแล้วเพื่อนหาว เราก็หาวตามโดยที่เรายังไม่รู้สึกง่วง หรือเบื่อ เรียกว่า "contagious yawn"
มีการศึกษาพบว่าเราเริ่มหาวกันตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ มีการถ่ายภาพสแกน 4 มิติ พบว่าในเด็กทารกในครรภ์ อายุครรภ์ตั้งแต่ 20-24 สัปดาห์ (5 เดือน) ก็ “ทำท่าเหมือนหาว" มีการศึกษามุมของการอ้าปาก และระยะเวลาตั้งแต่อ้าปากจนหุบปาก สรุปจากงานวิจัยพบว่าทารกในครรภ์หาวโดยเฉลี่ยถึง 12 ครั้ง ภายใน1 ชั่วโมง

ขอบคุณคลิปจาก : https://www.youtube.com/watch?time_continue=6&v=XmJ9Q1aDEz4
ทำไมต้องหาว?

    มื่อก่อนนี้เราจะพูดถึงเรื่องการแลกเปลี่ยนก๊าซว่า การหาวเกิดขึ้นเมื่อมีการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกายมากและต้องการจะได้รับก๊าซออกซิเจนมาเพิ่ม แต่ในการวิจัยปัจจุบันพบว่า"ในช่วงที่มีการหาวไม่ได้มีก๊าซออกซิเจนมากขึ้น และไม่ได้มีการขับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากขึ้นแต่อย่างใด" จึงเกิดข้อสมมุติฐานที่อาจเป็นไปได้สำหรับการหาว ดังนี้

1. การหาวอาจจะเกิดขึ้นเพื่อการยืดเส้นยืดสายของกล้ามเนื้อที่ลิ้นและลำคอ เนื่องจากเราใช้กล้ามเนื้อที่มากทั้งพูด รับประทานอาหาร และหายใจ เมื่อมีการหาวก็เหมือนได้มีการยืดคลายตัวของกล้ามเนื้อ บ้างก็ว่าทำให้มีการไหลเวียนของน้ำเหลืองที่ดีขึ้น
2. การกระสับกระส่าย เพราะมีบางการศึกษาพบว่า หลังจากการหาวจะช่วยให้
คนที่กระสับกระส่ายตื่นตัวขึ้น
3. มีการศึกษาในปีพ.ศ. 2550 ว่าการหาว อาจเกี่ยวข้องการควบคุมอุณหภูมิของสมอง โดยพบว่าสมองจะทำงานได้ดีในช่วงอุณหภูมิที่เป็นช่วงไม่กว้าง การหาวจะทำให้อุณหภูมิของสมองเย็นขึ้นซึ่งทำให้เหมาะสมกับการทำงานของสมองและพบว่าเมื่อเอา cold pack วางที่หน้าผากสักระยะผู้ถูกศึกษาจะไม่ค่อยหาว
4. และการหาวอาจเกิดมาจากการควบคุมของสารในสมองกลุ่มสารสื่อประสาท (neurotransmitter) และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องหลายชนิด เช่น โดปามีน (Dopamine) กลูตาเมท (Glutamate) อะซีติลโคลีน (Acetylcholine) เอซีทีเอช (ACTH) และออกซีโตซินเปปไทด์ (Oxytocin peptide) ซึ่งจะส่งผลต่อสมองส่วนไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) ผ่านไปที่สมองส่วน ฮิปโปแคมปัส (Hippo campus) พอนส์ (Pons) และเมดูลาออบลองกาตา (Medulla oblongata) และทำให้เกิดการหาวขึ้น
การหาวจากการควบคุมของสารในสมอง และฮอร์โมน
ทำไมเห็นคนหาวแล้วหาวตามกันได้ ?
คนสนิทกันยิ่งหาวตามกันได้มากกว่าคนแปลกหน้า?
  สาเหตุของการหาวตามกัน (contagious yawn) อาจจะเป็นพฤติกรรมทางสังคมของทั้งคนและสัตว์ เป็นเรื่องของการแสดงความเห็นอกเห็นใจ (เช่นเดียวกับคนที่ไม่รู้จักน้ำตาไหลเพราะอะไรก็ตาม เป็นจำนวนเยอะ สักครู่เราก็มีน้ำตาไหลตามได้ด้วย)

  ารที่คนหนึ่งหาวและอีกหลายๆคนหาวตามนั้น เชื่อว่าเป็นเรื่องของจิตวิทยาที่มีการเริ่ม ทำอะไรอย่างหนึ่ง และจะมีคนที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆทำตาม โดยเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ ดังจะเห็นได้จากละครตลกที่ดูในทีวี จะมีการใส่เสียงหัวเราะเข้าไปในละคร เพื่อเป็นการกระตุ้นให้คนดูเกิดการคล้อยตามว่าละครสนุกจริงๆ

มีการศึกษาในปีพ.ศ. 2550 (7 ปีที่แล้ว) พบว่าในกลุ่มเด็กออทิสติกซึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมการรวมกลุ่มจะไม่ค่อยหาว เมื่อให้ดูวิดิโอที่มีคนหาวกันเยอะๆซึ่งแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเด็กโดยทั่วไป
         ในลิงชิมแพนซี และในสุนัข ก็มีการหาวตามกันแบบคนได้ และมีการศึกษาพบว่ามีการหาวตามกันในสัตว์ต่างชนิดกันได้ด้วย เช่นการศึกษาของมหาวิทยาลัยลอนดอน ในประเทศอังกฤษ พบว่ามีการส่งต่อการหาวจากคนไปสู่สุนัขได้ด้วย ไม่เฉพาะการหาวเท่านั้น
สุนัขดังกล่าวก็ต่างดูง่วงและหลับไปได้ในที่สุด ... 
    นักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายเหตุผลของพฤติกรรมการหาวติดต่อกันนี้ว่า เกิดจากระดับความสามารถในการเข้าใจแบบหยั่งรู้ถึงความรู้สึกและอารมณ์ของผู้อื่น หรือที่เรียกว่า Empathy ส่งผลทำให้เกิดการแสดงออกร่วมกันกับผู้อื่นซึ่งผู้ที่มีระดับของ Empathy สูงจะมีโอกาสหาวตามเมื่อเห็นผู้อื่นหาวมากกว่าผู้ที่มีระดับ Empathy ต่ำ
ทำไมเวลาหาวมากๆจึงน้ำตาไหล?
     เพราะเวลาหาวมักมีการหลับตา หาวรุนแรงมักหลับตาปี๋ จะมีผลในการบีบต่อมน้ำตา(อยู่หนังตาบน) ปกติก็จะไหลออกทางรูระบายที่หัวตา (รูเล็กที่หัวตาที่หนังตาล่าง) เมื่อหาวแล้วหลับตาปี๋ รูก็จะเล็กลงชั่วขณะ น้ำตาก็ไม่สามารถระบายออกได้ ก็จะพบว่าหาวแล้วมีน้ำตาไหลเป็นเรื่องปกติ

ความเชื่อเกี่ยวกับการหาว ?
     ฝรั่งในสมัยโบราณเชื่อว่า การหาวทำให้วิญญาณออกจากร่าง ดังนั้นเวลาหาวจึงต้องเอามือปิดปากไว้ เพื่อไม่ให้วิญญาณหนีไปความเชื่อนี้มีที่มาจาก ในสมัยก่อนเด็กเกิดใหม่มักจะเสียชีวิตเพราะวิทยาการทางการแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้า เมื่อสังเกตเห็นเด็กหาวทันทีที่เกิด จึงเข้าใจว่าการหาวทำให้เสียชีวิต
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หาวปิดปาก

ที่มาภาพ : https://health.mthai.com/howto/health-care/17015.html
      ในสมัยนั้นจึงมีคำแนะนำให้แม่นั่งเฝ้าลูกน้อยเป็นพิเศษในช่วงเดือนแรกๆ หลังคลอด เพื่อคอยปิดปากลูกเวลาหาว เพราะเด็กยังปิดปากตัวเองไม่ได้ ความเชื่อดังกล่าวจึงกลายมาเป็นมารยาทในการหาวจนถึงปัจจุบัน มารยาทอีกอย่างหนึ่งของการหาวที่อาจพบเห็นได้ ก็คือ การหันหน้าไปทางอื่น หรือแม้แต่การกล่าวคำขอโทษออกมาหลังจากหาว
ที่มาของเรื่องนี้ก็คือ เมื่อคนสมัยโบราณสังเกตเห็นว่าเมื่อคนหนึ่งหาว คนที่อยู่ใกล้ๆ ก็มักจะหาวตามกัน ดังนั้นหากการหาวเป็นอันตรายต่อผู้หาว อันตรายนี้ย่อมติดไปถึงผู้อื่นด้วย เวลาหาวจึงหันหน้าหนีเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็น ส่วนการขอโทษก็เป็นเสมือนการแสดงความเป็นมิตรกับยมทูตที่จะมาพรากวิญญาณไปนั่นเอง
หาวแบบผิดปกติ ?

การหาวเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย  ยกเว้นว่าจะมีปริมาณของการหาวมากผิดปกติ  เช่น  หาวเกิน 30 ครั้งต่อวัน  ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจร่างกาย  เนื่องจากอาจมีความผิดเกี่ยวกับระบบการนอนหลับหรือระบบหายใจ  และเพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกายเรา  ควรดูแลสุขภาพด้วยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ  และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ  หลีกเลี่ยงความเครียดและอยู่การอยู่ในสถานที่ที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก  ก็อาจทำให้อาการหาวลดลงบ้าง

ป้องกันการหาว ?

การป้องกันการหาวให้เต็มร้อยยังเป็นไปไม่ได้ เพราะยังไม่ทราบกลไกการเกิดที่ชัดเจน แต่โดยทั่วไปที่พอป้องกันการหาวได้ คือ ต้องทำตัวให้สดชื่น ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ อยู่ในที่อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ร้อนอับชื้น ออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวันตามควรกับสุขภาพ และพักผ่อนให้เพียงพอ

การหาวไม่ได้เป็นปฏิกิริยาที่ร่างกายแสดงออกเพื่อเตรียมพร้อมจะนอนหลับหรือต้องการพักผ่อน
แต่เป็นปฏิกิริยาที่แสดงออกว่าร่างกายพร้อมที่จะตื่นตัว
ไม่มีผลเสียต่อสุขภาพ และอาจไม่ได้สื่อถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง
แต่ถ้าเรามีอาการหาวมากๆ และติดต่อกัน ร่วมกับมีอาการง่วงนอนมากผิดปกติ เฉื่อยชาลง ก็ควรต้องพบแพทย์

ทำไมเราจึงหาวตามๆ กัน ??

ขอบคุณคลิปจาก : https://www.youtube.com/watch?v=ToRfJZ2fnLw




วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ใบงานที่ 4 พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์

https://www.youtube.com/watch?v=etxwU6RRMY4&t=1s
  à¸œà¸¥à¸à¸²à¸£à¸„้นหารูปภาพสำหรับ พรบคอมพิวเตอร์ 2560 สรุป
                        ที่มาภาพ : http://district.cdd.go.th/phuluang/2017/07/11/


                   พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์คืออะไร?? 🍪🍪
     พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ก็คือพระราชบัญญัติที่ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งคอมพิวเตอร์ที่ว่านี้ก็เป็นได้ทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค สมาร์ตโฟน รวมถึงระบบต่างๆ ที่ถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ด้วย ซึ่งเป็นพ.ร.บ.ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกัน ควบคุมการกระทำผิดที่จะเกิดขึ้นได้จากการใช้คอมพิวเตอร์ หากใครกระทำความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นี้ ก็จะต้องได้รับการลงโทษตามที่พ.ร.บ.กำหนดไว้ค่ะ
                                   ที่มา : https://contentshifu.com/computer-law/


เรื่องที่ห้ามทำ ผิดกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

1. เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ชอบ (มาตรา 5-8)
  หากเข้าไปเจาะข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ของคนอื่น โดยที่เจ้าของข้อมูลไม่ได้อนุญาต (ละเมิด Privacy) หรือในเคสที่เรารู้จักกันดีก็คือ การปล่อยไวรัส มัลแวร์เข้าคอมพิวเตอร์คนอื่น เพื่อเจาะข้อมูลบางอย่าง หรือพวกแฮคเกอร์ ที่เข้าไปขโมยข้อมูลของคนอื่นก็มีความผิดตามพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ค่ะ
บทลงโทษ
เข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์: จำคุกไม่เกิน เดือน ปรับไม่เกิน หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์: จำคุกไม่เกิน ปี ปรับไม่เกิน หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และนำไปเปิดเผย: จำคุกไม่เกิน ปี ปรับไม่เกิน หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์: จำคุกไม่เกิน ปี ปรับไม่เกิน หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2. แก้ไข ดัดแปลง หรือทำให้ข้อมูลผู้อื่นเสียหาย (มาตรา 9-10)
  ในข้อนี้จะรวมหมายถึงการทำให้ข้อมูลเสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมข้อมูลของผู้อื่นโดยมิชอบ หรือจะเป็นในกรณีที่ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ อย่างเช่น กรณีของกลุ่มคนที่ไม่ชอบใจกับการกระทำของอีกฝ่าย แล้วต่อต้านด้วยการเข้าไปขัดขวาง ทำร้ายระบบเว็บไซต์ของฝ่ายตรงข้าม ให้บุคคลอื่นๆ ใช้งานไม่ได้ ก็มีความผิดค่ะ
บทลงโทษ
  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ปี ปรับไม่เกิน แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3. ส่งข้อมูลหรืออีเมลก่อกวนผู้อื่น หรือส่งอีเมลสแปม (มาตรา 11)
  ข้อนี้ก็เข้ากับประเด็นพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ หรือนักการตลาดที่ส่งอีเมลขายของที่ลูกค้าไม่ยินดีที่จะรับ หรือที่รู้จักกันว่า อีเมลสแปม หรือแม้แต่การฝากร้านตาม Facebook กับ IG ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำและยังรวมถึงคนที่ขโมย Database ลูกค้าจากคนอื่น แล้วส่งอีเมลขายของตัวเองค่ะ
บทลงโทษ
  ถ้าส่งโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา ปรับไม่เกิน แสนบาท และถ้าส่งโดยไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธตอบรับได้โดยงาน ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน ปี ปรับไม่เกิน หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
4. เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลทางด้านความมั่นคงโดยมิชอบ (มาตรา 12)
  โพสต์เกี่ยวกับเรื่องการเมืองที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายหรือความมั่นคงต่อประเทศ หรือโพสต์ที่เป็นการก่อกวน หรือการก่อการร้ายขึ้น ก็มีความผิดค่ะ เพราะมาตรา 12 ได้บอกไว้ว่าการเข้าถึงระบบหรือข้อมูลทางด้านความมั่งคงโดยมิชอบ หรือการโพสต์ข้อความในโลกออนไลน์ที่เข่าข่ายข้อมูลเท็จที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ หรือทำให้ประชาชนเกิดอาการตื่นตระหนก และล่วงรู้ถึงมาตรการการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และนำไปเปิดเผย
บทลงโทษ
กรณีไม่เกิดความเสียหาย: จำคุก 1-7 ปี และปรับ หมื่น – 1.4 แสนบาท
กรณีเกิดความเสียหาย: จำคุก 1-10 ปี และปรับ หมื่น – 2 แสนบาท
กรณีเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย: จำคุก 5-20 ปี และปรับ แสน – 4 แสนบาท

5. จำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งเพื่อนำไปใช้กระทำความผิด (มาตรา 13)
- กรณีทำเพื่อเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ตามมาตรา 5-11 (หรือข้อ 1-3 ในบทความนี้) 
บทลงโทษ
  ต้องจำคุกไม่เกิน ปี ปรับไม่เกิน หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีผู้นำไปใช้กระทำความผิด ผู้จำหน่ายหรือผู้เผยแพร่ต้องรับผิดชอบร่วมด้วย
- กรณีทำเพื่อเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ มาตรา 12 
บทลงโทษ
  ต้องจำคุกไม่เกิน ปี ปรับไม่เกิน หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีผู้นำไปใช้กระทำความผิด ผู้จำหน่ายหรือผู้เผยแพร่ต้องรับผิดชอบร่วมด้วย

6. นำข้อมูลที่ผิดพ.ร.บ.เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ (มาตรา 14)
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
      ในความผิดมาตรา 14 จะระบุโทษการนำข้อมูลที่เปิดพ.ร.บ.เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งแบ่งออกเป็น ข้อความผิดด้วยกันคือ
- โพสต์ข้อมูลปลอม ทุจริต หลอกลวง (อย่างเช่น ข่าวปลอม โฆษณาธุรกิจลูกโซ่ที่หลอกลวงเอาเงินลูกค้า และไม่มีการส่งมอบของให้จริงๆ เป็นต้น)
- โพสต์ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับความมั่งคงปลอดภัย
- โพสต์ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ก่อการร้าย
- โพสต์ข้อมูลลามก ที่ประชาชนเข้าถึงได้
- เผยแพร่ ส่งต่อข้อมูล ที่รู้แล้วว่าผิด (อย่างเช่น กด Share ข้อมูลที่มีเนื้อหาเข้าข่ายความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็มีความผิดค่ะ )
บทลงโทษ
หากเป็นการกระทำที่ส่งผลถึงประชาชน ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน ปี ปรับไม่เกิน แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากเป็นกรณีที่เป็นการกระทำที่ส่งผลต่อบุคลใดบุคคลหนึ่ง ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน ปี ปรับไม่เกิน แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (แต่ในกรณีอย่างหลังนี้สามารถยอมความกันได้)

7. ให้ความร่วมมือ ยินยอม รู้เห็นเป็นใจกับผู้ร่วมกระทำความผิด (มาตรา 15)
  กรณีนี้ถ้าเทียบให้เห็นภาพชัดๆ ก็เช่น เพจต่างๆ ที่เปิดให้มีการแสดงความคิดเห็น แล้วมีความคิดเห็นที่มีเนื้อหาผิดกฎหมายก็มีความผิดค่ะ แต่ถ้าหากแอดมินเพจตรวจสอบแล้วพบเจอ และลบออก จะถือว่าเป็นผู้ที่พ้นความผิด
บทลงโทษ
  ถ้าไม่ยอมลบออกต้องได้รับโทษ ถือว่าเป็นผู้กระทำความผิดตามมาตร 14 ต้องได้รับโทษเช่นเดียวกันผู้โพสต์ หรือแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์ แต่ถ้าผู้ดูแลระบบพิสูจน์ได้ว่า ตนได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการแจ้งเตือนแล้วไม่ต้องรับโทษ

8. ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงภาพ (มาตรา 16)
ความผิดข้อนี้ แบ่งออกเป็น ประเด็นหลักคือ
• การโพสต์ภาพของผู้อื่นที่เกิดจากการสร้าง ตัดต่อ หรือดัดแปลง ที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง อย่างเช่นกรณีที่เอาภาพดาราไปตัดต่อ และตกแต่งเรื่องขึ้นมา จนทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย ก็ถือว่ามีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ค่ะ
• การโพสต์ภาพผู้เสียชีวิต หากเป็นการโพสต์ที่ทำให้บิดามารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย
บทลงโทษ
หากทำผิดตามนี้ ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน ปี และปรับไม่เกิน แสนบาท
                                      ที่มา : https://contentshifu.com/computer-law/
      

รู้จักพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2560 from sirinadaphonboon 
                 ที่มา :https://www.slideshare.net/sirinadaphonboon/2560-78398536



พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับปรับปรุงแก้ไข พ.ศ. 2560  🌺🌺



                         ขอบคุณคลิปจาก : https://www.youtube.com/watch?v=Ie0YHG2rjMQ


ความแตกต่างของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ปี 2550 และ 2560🐍🐍

                 ขอบคุณคลิปจาก :https://www.youtube.com/watch?v=etxwU6RRMY4&t=1s



บก.ปอท.คือหน่วยงานอะไร??

     หน่วยงานที่คอยควบคุมดูแลก็คือ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เป็นหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายโดยมุ่งเน้นการอำนวยความยุติธรรม ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและบริการประชาชน อย่างมีมาตรฐานสากล เพื่อทำให้เกิดความสงบเรียบร้อย มั่นคง แก่สังคมและประเทศชาติ โดยหน่วยงานนี้จะมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่เกี่ยวกับการรักษาความสงบ เรียบร้อย ป้องกันและ ปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเฉพาะ รวมทั้งการสืบสวนสอบสวนปฏิบัติงานตามประมวงกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา และตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ

ภารกิจ ของ บก. ปอท.🌙🌙🌙

  1. ถวายความปลอดภัย สำหรับองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์
  2. ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
  3. อำนวยความยุติธรรมโดยยึดหลักนิติธรรม
  4. รักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ
  5. สนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่น ตลอดจนประสานงานความร่วมมือระหว่างภายในประเทศและต่างประเทศ
  6. รับแจ้งเบาะแสจากประชาชนตลอดจนให้คำปรึกษาแนะนำ ตรวจสอบปัญหา เพื่อที่จะได้นำแนวทางไปใช้ในการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
                              ที่มา : http://www.wikibuster.org/




10 พฤติกรรมเสี่ยงคุก พรบ.คอมพิวเตอร์ โดย ปอท. โพสต์ต้องคิด คลิกเสี่ยงคุก

                  ขอบคุณคลิปจาก : https://www.youtube.com/watch?v=Q5ADlR7srvo



LGBT ความหลากหลายทางเพศ

เมื่อพูดถึงเพศทางเลือกแล้ว ในต่างประเทศจะมีตัวอักษรย่อของกลุ่มเพศทางเลือกว่า  LGBT  ซึ่ง  LGBT  คืออะไรบ้าง วันนี้เราจะมาอธิบายคร่าวๆ เพื่อเ...